ไข้หวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก และเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ จะติดเชื้อจากเพื่อนในห้องป่วยเป็นไข้หวัดได้บ่อยมาก
โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ที่มีคนอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ และพบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง
ไข้หวัดจัดว่าเป็นโรคที่ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ เนื่องเพราะมักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ด้วยการปฏิบัติตัวและการรักษาตามอาการ
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส (virus) มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดจากกลุ่มไวรัสหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มไวรัสไรโน (rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสโคโรนา (coronavirus) กลุ่มไวรัสอะดีโน (adenovirus) กลุ่มอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) กลุ่มไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (parainfluenza virus) กลุ่มเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) กลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) กลุ่มเชื้อเริม (herpes simplex virus) เป็นต้น แต่ละกลุ่มจะมีสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ เช่น ไวรัสโคโรนา มีสายพันธุ์เก่า 4 สายพันธุ์ ถึงปี 2563 มีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น 3 สายพันธุ์ รวมทั้งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19
การเกิดโรคขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็จะเกิดจากเชื้อหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้น และมีอาการรุนแรงน้อยลงไป
เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด เนื่องจากเป็นฝอยละอองที่มีขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 ไมครอน) จึงกระจายออกไปได้ไม่ไกล คือภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร จัดว่าเป็นการแพร่กระจายทางละอองเสมหะ (droplet transmission)
นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่น หนังสือ โทรศัพท์ เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนถูกฝอยละอองของผู้ป่วย เมื่อคนปกติสัมผัสถูกมือของผู้ป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคน ๆ นั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคน ๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้
ระยะฟักตัว (ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น) 1-3 วัน
อาการ
มีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหนักศีรษะเล็กน้อย คอแห้งหรือเจ็บคอเล็กน้อย คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ซึ่งมักจะมีน้ำมูกมากใน 2-3 วันแรก
น้ำมูกมีลักษณะใส บางรายหลังมีน้ำมูกใสได้ 2-3 วันน้ำมูกอาจมีลักษณะข้นขาว หรือเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ซึ่งมักพบในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า เนื่องจากเป็นน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกเป็นเวลานาน ตอนสาย ๆ ก็มักจะกลับกลายเป็นใส
ต่อมาอาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะสีขาว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณลิ้นปี่เวลาไอ ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียนเวลาไอ
ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงคัดจมูก น้ำมูกไหล
ในเด็กมักจับไข้ขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจมีไข้สูงและชัก ในทารกอาจมีอาการอาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย
ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีไข้ติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหล ติดต่อกันนานเกิน 10 วัน
ข้อมูลสุขภาพ: ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI) อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/expert-scoops