ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเบาหวาน รู้ทันป้องกันได้ (Diabetes)  (อ่าน 82 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 495
    • ดูรายละเอียด
โรคเบาหวาน รู้ทันป้องกันได้ (Diabetes)
« เมื่อ: 04 มิถุนายน 2024, 15:08:09 pm »
โรคเบาหวาน รู้ทันป้องกันได้ (Diabetes)

โรคเบาหวาน คืออะไร?

     ภาวะปกติเมื่อรับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หลังจากนั้นร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนมาช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยอินซูลินจะนำพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์

     โรคเบาหวาน หมายถึง โรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่

โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด ได้แก่

    โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน ส่วนใหญ่พบในเด็ก จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาอินซูลิน
    โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวานร่วมด้วย ในระยะแรกสามารถรับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้าเป็นนาน ๆ บางรายจำเป็นต้องใช้ยาอินซูลิน
    โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ วินิจฉัยขณะตั้งครรภ์ และภาวะนี้มักหายไปหลังจากคลอด
    โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคที่ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด ยาบางประเภท เช่น ยาที่มีสารสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบ

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2

    อายุ 35 ปีขึ้นไป
    มีโรคอ้วน (ดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/ตารางเมตร) หรือรอบเอวเกินมาตรฐาน (มากกว่า 90 เซนติเมตรในผู้ชาย หรือ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง)
    กรรมพันธุ์ พ่อ แม่ พี่หรือน้องเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
    มีโรคความดันโลหิตสูง หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตอยู่
    ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ระดับไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับคอเลสเตอรอล เอชดีแอล < 35 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
    เคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
    เคยได้รับการตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เช่น ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 100–125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับน้ำตาลสะสม 5.7-6.4%
    มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
    กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่
    พฤติกรรมที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายในระหว่างวัน
    การติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

อาการเริ่มแรกของโรคเบาหวาน คือ ผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรกที่ระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่สูงมาก อาการจะไม่เด่นชัดอย่างไรก็ตาม อาจไปพบแพทย์ด้วยอาการต่าง ๆ ดังนี้

    อาการของระดับน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ รับประทานเก่งขึ้น หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ถ้าระดับน้ำตาลสูงนาน ๆ และยังไม่ได้รับการรักษาจะมีน้ำหนักตัวลดลงตามมา
    อาการของภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น ตามัว ไตวาย ชาปลายมือปลายเท้า โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง
    อาการของน้ำตาลสูงเฉียบพลัน เช่น อ่อนเพลียมาก คลื่นไส้อาเจียน หายใจหอบเหนื่อย ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึมลง หรือหมดสติ
    อาการหรือโรคที่สัมพันธ์กับโรคเบาหวาน เช่น แผลเรื้อรังหรือแผลหายช้ากว่าปกติ โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น การติดเชื้อราที่ช่องคลอด การติดเชื้อราที่ผิวหนัง
    ตรวจพบจากการตรวจเช็คสุขภาพหรือก่อนทำการผ่าตัด


น้ำตาลสะสม หรือน้ำตาลเฉลี่ยคืออะไร?

     น้ำตาลสะสม หรือน้ำตาลเฉลี่ย หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1C) คือระดับน้ำตาลในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ค่าน้ำตาลเฉลี่ยจะช่วยแพทย์ในการเฝ้าติดตามผู้ป่วยเบาหวานว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีเพียงใด ควบคู่ไปกับการดูระดับน้ำตาลหลังงดอาหาร 6-8 ชั่วโมง (Fasting plasma glucose หรือ FPG) ในผู้ป่วยเบาหวานแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลสะสมอย่างน้อยปีละ 2-4 ครั้ง


เกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

     1. ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหาร (fasting plasma glucose) มากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

     2. ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5%

     3. ระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมง หลังดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัม มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

     4. มีอาการของน้ำตาลในเลือดสูง (ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย น้ำหนักลด) ร่วมกับระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

     *เป้าหมายระดับน้ำตาลสะสมอาจปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมได้ในผู้ป่วยแต่ละรายตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากอายุ โรคร่วม ระยะเวลาการเป็นเบาหวาน และความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันของโรคเบาหวาน

     ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เมื่อมีอาการภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรตรวจดูค่าน้ำตาลปลายนิ้วเพื่อยืนยันถ้าค่าน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เข้าเกณฑ์วินิจฉัยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

     หลักการแก้ไขภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกรณียังรู้สึกตัว คือ 15, 15 รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม เช่น 

     ตรวจน้ำตาลปลายนิ้วซ้ำ 15 นาที หลังรับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม

     หากค่าน้ำตาลยังน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมซ้ำ และอีก 15 นาที ให้ตรวจดูค่าน้ำตาลปลายนิ้วอีกครั้ง
     หากค่าน้ำตาลน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้ทำซ้ำเช่นเดิม
     หากค่าน้ำตาลมากกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้รับประทานอาหารมื้อหลักทันที เมื่อถึงมื้ออาหาร
     หากมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระดับรุนแรง อาจทำให้มีอาการชักถึงขั้นหมดสติไม่รู้สึกตัว ห้าม! ให้อาหารทางปากเด็ดขาด เพราะอาจสำลักลงหลอดลมแนะนำควรส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงทันที


ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน แบ่งเป็น 2 ภาวะ ได้แก่

     1. ภาวะคีโตเอซิโดซิส (Diabetic Ketoacidosis หรือ DKA) คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ร่วมกับภาวะกรดเมตาบอลิกจากกรดคีโตนคั่งในร่างกาย

     2. ภาวะไฮเปอร์ไกลซีมิกไฮเปอร์ออสโมลาร์ (Hyperosmolar Hyperglycemic State หรือ HHS) คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 600 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ร่วมกับมีภาวะออสโมลาริตี้ในร่างกายสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 320 มิลลิออสโมล/กิโลกรัม แต่ไม่มีภาวะกรดเมตาบอลิกจากกรดคีโตนคั่งในร่างกาย


ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวาน ได้แก่
     
1. ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดเล็ก

    เบาหวานขึ้นตา
    ไตวาย
    ปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน มักมีอาการ ชาปลายเท้า เจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง

     
2. ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดใหญ่

    กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
    อัมพฤกษ์ อัมพาต
    หลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน ทำให้เกิดแผลที่เท้าง่าย และมีโอกาสถูกตัดนิ้ว/ขา

     ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถป้องกันและชะลอได้ โดยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติ และควบคุมโรคร่วมที่สำคัญ เช่น โรคความดันโลหิตสูงและโรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น


คำแนะนำในการปฏิบัติตัวสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

    ควรดื่มน้ำสะอาดมากกว่า 8 แก้วต่อวัน
    ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต ไขมันในเลือดและน้ำหนักตัวให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
    รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ครบทั้ง 3 มื้อ แม้จะไม่หิวก็ตาม ลดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานของว่างที่ไม่จำเป็น
    รับประทานข้าว/แป้งไม่ขัดสีในปริมาณที่เหมาะสม (1-2 ทัพพีต่อมื้อ)
    รับประทานผลไม้สดเป็นประจำ 2-3 มื้อต่อวัน ปริมาณ 6-8 ชิ้นคำต่อมื้อ หากเลือกผลไม้ขนาดกลาง 1/2 ผลต่อมื้อ หรือขนาดค่อนข้างเล็ก 1-2 ผลต่อมื้อ
    รับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและไม่ติดมันในปริมาณที่เหมาะสม
    เน้นรับประทานผักใบให้มากขึ้น
    ใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหารได้ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว
    แนะนำให้ดื่มนมรสจืดพร่องมันเนย หรือขาดมันเนยประมาณ 250 มิลลิลิตรต่อวัน หรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่เกิน 1 ถ้วยต่อวัน
    อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้ออาหารทุกครั้ง
    รับประทานยา หรือฉีดยาอินซูลินตามคำสั่งแพทย์
    สำรวจเท้า ทำความสะอาด และทาโลชั่นที่เท้าทุกวัน หากพบความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
    ควรตรวจฟันและช่องปากทุก 6 เดือน
    นอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการนอนดึก ถ้านอนผิดปกติหรือมีอาการหยุดหายใจระหว่างนอน ควรปรึกษาแพทย์
    หลีกเลี่ยงการนั่งติดต่อกันนาน 30 นาที
    ลดการรับประทานอาหารหวาน เครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรือให้ใช้น้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานเทียมแทนน้ำตาล
    ลดการรับประทานอาหารมัน เช่น อาหารจานเดียว อาหารทอดและอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ รวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน หมูยอ กุนเชียง เป็นต้น
    ลดการรับประทานอาหารเค็ม เช่น ขนมกรุบกรอบ อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง และเครื่องปรุงรส เป็นต้น รวมถึงการลดการรับประทานน้ำซุปต่าง ๆ หรือใช้หลักการตักเนื้อทิ้งน้ำ และลดการรับประทานน้ำจิ้มหรือเครื่องปรุงรสต่าง ๆ
    งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

xaphus

  • บุคคลทั่วไป

 

ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google